วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Mariah Carey - The Emancipation of Mimi (2005)


Mariah Carey กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้มใหม่ลำดับที่ 2 ภายใต้ชายคาของ Def Jam อันมี Jermaine Dupri เป็น prodicer หลังจากที่ไม่สมหวังกับอัลบั้มที่แล้ว Charmbrecalet กลายเป็นงานที่ไม่น่าจดจำของ Mariah พอๆกับ Glitter เมื้อครั้งยังอยู่ใน Virgin แต่ The Emancipation of Mimi ก็ทำให้ Mariah กลับมามีชีวิตบนชาร์ตเพลงอีกครั้งด้วยซิงเกิ้ลอันดับ 1 ถึง 14 สัปดาห์อย่าง We Belong Together

ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงลิบบนชาร์ตเพลง Mariah จึงต้องพิถีพิถันงานตัวเองเป็นพิเศษ จิกเอาคนดังมาร่วมงานเป็นไม้กันหมาว่า ถึงงานนี้ฉันจะดับ แต่เพลงฉันก็ดีนะ It's Like That คือซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยมา อาจจะไม่ได้เปรี้ยงปร้างเหมือน Heartbreaker หรือ Fantasy แต่เธอก็เอาตัวรอดได้สบายๆด้วยจังหวะ Hip Hop ที่ติดหูง่าย จึงทำให้ผู้คนกลับมาสนใจในตัว Mariah อีกครั้ง

the Neptunes, Kanye West, Nelly ต่างมีบทบาทที่คล้ายคลึงกันคือ ทำเพลงให้ติดหูเข้าไว้ Stay the Night ของ Kanye West กลายเป็นเพลงที่เครียดที่สุดในอัลบั้ม ในขณะที่ To The Floor ของ Nelly ปล่อยตามสบาย เรื่อยๆมาเรียงๆ Get Your Number มีความเหมือนกับ It's Like that ตรงที่ฟังดูก็รู้ว่าฝีมือของ Jermaine Dupri แหงๆ ในส่วนของเพลงช้า Mine Again ขึ้นเสียงสูงตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเพลงที่ยากแก่การร้องสด Your Girl, Joy Ride และ Circles เริ่มต้นได้น่าเบื่อ และยังคงความน่าเบื่อไปจนจบ

We Belong Together และ Don't Forget About Us จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ อันดับ 1 ทั้งสองเพลง โดยเพลงแรกนั้นเป็น อาร์แอนด์บีบัลลาดที่มีการร้องแบบกระชั้นชิด แล้วปล่อยสุดแรงในช่วงท้าย อันเป็นมุขเดิมมุขเดียวในบัลลาดของ Mariah ที่ใช้มาตั้งแต่อัลบั้มแรก ส่วนเพลงหลังเดินตามสูตรเพลงแรกอย่างน่าเกลียด ความเพราะอาจจะไม่เท่ากัน แต่ก็ทำให้เธอเป็นสตรีที่มีอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 มากกว่าใครอยู่ดี เพลงที่น่าชื่นชมอย่าง Say Somethin' กลับไม่ดังเท่าที่ควร

อัลบั้มนี้มีแต่ความกดดัน เหมือนกับจะฝากความหวังสุดท้ายเอาไว้ Stay the Night เป็นเพลงดีจริงแต่ฟังไม่ได้บ่อย กะโหลกกะลาอย่าง Get Your Number ก็ไม่ไหว Mariah ยังมีเพลงกอสเพลอย่าง Fly Like a Bird ปิดอัลบั้ม ที่ฟังยังไงก็ไม่ขลัง Shake It Off ก็เป็นมุขเดิมๆเมื่อครั้ง Rainbow หรือ Butterfly ต้องอาศัยจังหวะที่เหมาะสมถึงจะดังได้ พิสูจน์ได้จาก Boy (I Need You) ที่ปล่อยออกมาในยุคที่ Mariah ตกอับ จึงไม่ดังด้วยเหตุผลนี้

ตัวอัลบั้มสามารถคว้าถึง 3 รางวัล Grammy ห่างไกลกับครั้งล่าสุดในปี 1991 ช่วยให้ Mariah เป็นที่ต้องการของชาร์ตเพลง เพราะต่อไปนี้ Mariah จะมีเพลงที่แย่แค่ไหน มันก็ขึ้นชาร์ตอยู่ดี ต่างจากศิลปินในรุ่นเดียวกันที่ป่านนี้ติดยา ดับอนารถ ทำเพลงยังไงก็ไม่ดังเหมือนเดิม Mariah เคยถึงขีดสุดมาแล้ว ในครั้งนี้เธอสามารถเอามือมาแตะขีดสุดของตัวเองได้อีกครั้ง และไม่ต้องสงสัยว่าเธอจะสร้างสถิติอะไรอีก เพราะเธอทำได้แน่ๆ

คะแนน 3.5/5

Tracklist

1. It's Like That
2. We Belong Together
3. Shake It Off
4. Mine Again
5. Stay The Night
6. Get Your Number
7. One and Only
8. Circles
9. Your Girl
10. I Wish You Knew
11. To The Floor
12. Joy Ride
13. Fly Like A Bird
14. Don't Forger About Us
15. Makin' It Last All Night [What It Do]
16. So Lonely (One and Only Part II)
17. We Belong Together (Remix)
18. I Feel It (Bonus Track)

Download Part I

Download Part II

*NSync - Celebrity (2001)


กลายเป็นบอยแบนด์ที่ประสบความสำเร็จในระดับแถวหน้าของวงการไปแล้ว *NSync อันประกอบไปด้วย Justin Timberlake, JC Chasez, Lance Bass, Joey Fatone และ Chris Kirkpatrick หลังจากส่งอัลบั้ม No Strings Attached โด่งดังไปทั่วโลก ในอเมริกายอดขายแค่วันแรกวันเดียวฟันไปถึง 1.1 ล้านแผ่น

Celebrity อัลบั้มใหม่ของ *NSync เต็มไปด้วยความล้ำของดนตรี อันได้มาจาก producer สองคนที่คลุกคลีกับดนตรีฮิพฮอพอาร์แอนด์บีมานานนั่นก็คือ Rodney Jerkinds และ Pharell Williams เปิดโลกทัศน์ของบอยแบนด์ให้กว้างขึ้น ไม่ให้โดนดูถูกว่า สักแต่จะขายหน้าตาหนือท่าเต้น พวกเขาแต่งเพลงเองก็ได้นะเออ เก่งกาจผิดแผกจากบอยแบนด์ทั่วไปซะะจริงๆ

แน่นอนว่า Celebrity เปิดตัวขึ้นอันดับ 1 Billboard 200 และเป็นครั้งแรกของวงที่ได้มีชื่อเข้ารางวัล Grammy ซิงเกิ้ลแรก (Dirty) Pop มีเนื้อหาค่อนข้างจะแรงเกี่ยวกับทัศนคติเพลงพ็อพ จึงโดนหยุดอันดับเพลงไว้ที่ 19 ไปไม่ถึงท็อป 10 แต่ก็มาสมหวังเอากับซิงเกิ้ลที่ 2 บัลลาดที่มีชื่อว่า Gone และท็อป 5 กับเพลง Girlfriend ที่มนเวอร์ชั่นซิงเกิ้ลได้ Nelly มาสร้างสีสัน

Max Martin ถูกลดบทบาทลงไปมาก โดยถูกจัดอยู่ในหมวดพ็อพอย่างเดียว แล้วดึงเอาคู่หุ Pharell Williams กับ Chad Hugo มาหมุนปุ่มแทน Wade J.Robson เก่งกาจ จากนักเต้นมาเป็นคนแต่งเพลงยัน producer และที่ต้องชมคือ Rodney Jerkinds มาทำไตเติ้ลแทร็ค Celebrity ได้เปรี้ยวล้ำสุดๆ

อัลบั้มนี้ Justin Timberlake มีโอกาสแสดงความสามารถมากกว่าใคร ซิงเกิ้ล Gone กับ Girlfriend เป็นการโซโล่เดี่ยวของเขาเองล้วนๆ JC คนที่ร้องเพลงได้อีกคนกลับได้มาร้องเพลงที่ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่นักอย่าง The Two of Us และไม่ทราบว่าคนอื่นๆเค้าทำอะไรเป็นบ้างนอกจากร้องคอรัส ทำไมไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นแสดงความสามารถกันบ้าง หรือว่าเค้าไม่หล่อ หรืออย่างไร

แม้ดนตรีจะล้ำและหรูขนาดไหน ก็ยังทิ้งแฟนเพลงเก่าๆไม่ลง แทร็คอย่าง Selfish พ็อพบัลลาดใสๆยังตามมาหลอกหลอน หรือคิดว่าถ้าเกิดไม่รุ่ง อย่างน้อยก็ยังกลับมาทำเพลงสไตล์เดิมได้อยู่ เป็นการชั่งใจของทางค่ายเองว่าสมควรจะกลับไปเป็นพ็อพธรรมดาหรือพัฒนาต่อยอดขึ้นไป เป็นข้อเสียของอัลบั้มที่เห็นได้ชัด บางเพลงก็สมควรโดนตัดออกไปนอกจากเพลงที่เพิ่งกล่าวไป Something Like You และ โบนัสแทร็ค Falling ก็สมควรด้วยเช่นกัน จะทำให้ภาพลักษณ์ของอัลบั้มดูดีขึ้นมากโขเลยทีเดียว

น่าคิดว่า Justin Timberlake เตรียมตัวที่จะชิ่งออกโซโล่เดี่ยวก็ตอนนี้ เพราะทั้งอัลบั้ม Justin ทีส่วมร่วทถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เด่นอยู่คนเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ JC คือตัวขายของวงด้วยเหมือนกัน สุดท้ายแล้ว Celebrity ก็ไปถึงฝั่งฝัน กลายเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของ *NSync และเป็นใบเบิกทางให้กับ Justin ให้ออกโซโล่ด้วย

คะแนน 4/5 คะแนน

Tracklist

1. (Dirty) Pop
2. Celebrity
3. The Game Is Over
4. Grlfriend
5. The Two of Us
6. Gone
7. Tell Me, Tell Me... Baby
8. Up Agaist The Wall
9. See Right Through
10. Selfish
11. Just Don't Tell Me that
12. Something Like You
13. That Girl [Will Never Be Mine] (Bonus Track)
14. Falling (Bonus Track)
15. Do Your Thing

Download Part I

Download Part II

Rob Thomas - Something To Be (2006)


ไม่รู้ว่าพี่ Rob Thomas ใหญ่แค่กันไหนเชียว ถึงกล้าออกโซ่โล่เดี่ยว ทั้งๆที่วง Matchbox Twenty อายุของวงก็ไม่ได้แก่กล้าพอ เพลงฮิตจริงก็มีไม่กี่เพลง แต่คงจะมั่นใจว่าตัวเองมีศักยภาพพอก็ตรงที่ เคยร่วมกับกับ Santana ในเพลง Smooth โด่งดังไปทั่วโลก ทำให้คอเพลงโฟล์คร็อคหรือแฟนเพลงของ Santana รู้จักเขามากขึ้น และเพลงนี้แค่เพลงเดียวก็ทำให้เขาคว้ารางวัล Grammy ถึง 3 สาขา คือ Record of the Year, Song of the Year, และ Best Pop Collaboration with Vocals

อัลบั้มแรกของRob Thomas มีชื่อว่า Something To Be เปิดตัวในอันดับ 1 บน Billboard 200 เขี่ยเอา The Emancipation of Mimi ของ Mariah Carey ให้หล่นลงไป Lonely No More ซิงเกิ้ลแรกขึ้นอันดับสูงสุด ที่ 6 Billboard Hot 100 แสดงว่าเขามีอิทธิพลพอสมควร

พูดถึงซิงเกิ้ลแรก Lonely No More ออกจะช็อคแฟนเพลง Matchbox Twenty อยู่มาก เพราะมีแต่ความเป็นพ็อพติดหูที่เอาใจตลาด แต่ก็ต้องโล่งใจเพราะนี่คือส่วนน้อยของอัลบั้ม Something To Be ยังมีความเป็นร็อคหลงเหลืออยู่กันไม่่ให้แฟนเพลงหนีหาย พร้อมทั้งส่วนผสมของ Latin และ Folk เอาให้ดูหลากหลายเข้าว่า

Streetcorner Symphony เพลงเดียวที่ได้ John Mayer มาเล่นกีต้าร์ให้ละม้ายคล้ายเพลงของแขกรับเชิญมากกว่า All That I Am เหมือนมหากาพย์หนังเรื่องใหญ่ซักเรื่อง Ever The Same อันนี้เพราะ แต่เหมือน Unwell เด๊ะๆ ที่เพราะที่สุดก็น่าจะเป็น When The Hertache Ends เพลงที่พูดถึงเพื่อน This Is How A Heartbreak ซิงเกิ้ลที่สองที่ไปไม่ค่อยสวยในชาร์ต เป็นร็อคจังหวะมันส์หยดติ๋งๆ ถูกใจแฟนเพลงเก่าๆไม่มากก็น้อย

แต่ละเพลงดูเหมือนจะเดินรอยตาม Smooth อย่างตั้งใจ แต่ใครมันจะทำได้ดีเหมือนครั้งแรกล่ะ จึงไม่พ้นคำครหาว่ากำลังเดินตามสูตรสำเร็จของตัวเอง Something To Be จึงเป็นงานคั่นเวลาของ Matchbox Twenty ที่แฟนเพลงไม่ค่อยจะปลื้มเท่าไรนัก แต่คิดในอีกแง่นึง ถ้าทำเพลงเหมือนทำอยู่กับวงก็คงจะโดนด่าไปแล้ว

ความจริง Rob Thomas น่าจะได้เพลงที่มีระดับแข็งมากกว่านี้ เพราะทั้งเสียงและความสามารถพี่ Rob ก็มีมากพอตัว แต่อาจจะเป็นเพราะเหตุผลทางการตลาดของทางค่ายเพลงหรืออย่างไร ทำให้คิดสั้นออกอัลบั้มมาได้ครึ่งๆกลางๆ เดี๋ยวร็อคเดี๋ยวพ็อพ บางเพลงก็น่ารำคาญซะ สิ่งเดียวที่ Rob Thomas ควรทำคือฝึกปรือตัวเองให้มากๆ ตลาดต้องการเพลงที่ติดหูก็จริง แต่ก็ใช่ว่าใครจะทำแล้วดัง อย่าให้ตลาดเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางของอัลบั้ม ใช้ฝีมือจะดีกว่า

คะแนน 2.5/5

Tracklist

1. This Is How A Heartbreak
2. Lonely No More
3. Ever The Same
4. I Am An Illusion
5. When The Hertache Ends
6. All That I Am
7. Problem Girl
8. Fallin' To Pieces
9. My , My, My
10. Streetcorner Symphony Featuring John Mayer
11. Now Comes the Night

Download Here

Jennifer Lopez - This Is Me... Then (2002)


ช่วงหลังๆดูเหมือนชีวิตส่วนตัวของ Jennifer Lopez จะโดนโฟกัสมากเป็นพิเศษ ไม่งั้นขนาดยัยหงส์เหิน Gwyneth Paltrow จะว่าให้หรือว่า ไม่รู้จักหนังที่เธอเล่นซักเรื่อง รู้แต่เธอคบใครบ้าง เจ็บมั๊ยล่ะ พูดถึงสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 3 (ต้อง 3 สิ ไม่นับอัลบั้มรีมิกซ์นะ) This Is Me... Then ของเจโล ขจัดความเป็น Latin ออกจนหมดสิ้น เพราะทำ R&B Hip Hop แล้วมันดังกว่านี่หว่า

มี Jennifer Lopez ก็ต้องมี Cory Rooney เป็น producer ที่เจโลต้องใช้ทุกอัลบั้ม จนกลายเป็นของติดตัวไปแล้ว ยากที่เธอจะสลัดทิ้ง แต่ละเพลงมีจุดเด่นต่างกัน แต่มีความไพเราะพอๆกัน Loving You อาร์แอนด์บีร่วมสมัยเพราะขาดใจ I'm Glad ทำนองสวยหรู MV น่าดูชม นอกจากนี้เจโลยังใช้แซมแปิ้ลเพราะๆจาก Midnight Cowboy มาใส่ในเพลง Baby I Love U ซาวด์แทร็คหนังจาก Gigli

เจโลมีเมโลดี้สวยๆมาล่อตาล่อใจทั้งอัลบั้ม จึงทำให้ทุกเพลงสามารถฟังต่อกันได้เรื่อยๆ เพลงถูกจัดเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน R&B เพราะพริ้ง Hip Hop เท่ห์ๆ Ballad ทำนองงามๆ พูดถึงเพลงบัลลาด The One ถูกแบ่งเป็นสองภาค สร้างความน่าสนใจให้กับคนฟังเพลง เวอร์ชั่นแรกว่าเพราะแล้ว เวอร์ชั่นที่สองยิ่งเพราะกว่า ที่ว่ามันเพราะขนาดนี้ขอยกความดีความงามให้กับทำนอง You Are Everything ที่คุณเธอขอแซมเปิ้ลเค้ามา

จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ Jenny From The Block เพลงที่ทำมาเพื่อขายโดยเฉพาะ ตัดมาไม่ดังก็ให้มันรู้ไป ขึ้นถึงท็อป 3 บน Billboard Hot 100 ดังเร็วไปเร็ว ติดหูก็จริงแต่ไม่น่าประทับใจ เนื้อหาก็ตอหลดตอแหลเต็มที่ All I Have อาร์แอนด์บีอีกเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 Billboard Hot 100 ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ใช้แซมเปิ้ลเพลง Very Special ของ Debra Laws ก็น่าฟังดี แต่ไม่ประทับใจเท่าไหร่

เคยได้ยินเค้าพูดมาว่า เจโลออกอัลบั้มใหม่พร้อมสามีใหม่ เห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่เชื่อลองนับ On The 6/P. Diddy J.Lo/Cris Judd This Is Me... Then/Ben Affeck พร้อมทั้งเจโลยังมีเพลงแต่งให้สามีอย่าง Dear Ben เพิ่มความน่าหมั่นไส้เข้าไปอีก

ดูเหมือนเจโลจะเรียบเรียงพัฒนาการของตัวเองผิดลำดับไป On The 6 เป็นอาร์แอนด์บีกึ่งลาติน J.Lo อันนี้ลาตินจ๋าเลย มาในอัลบั้มนี้ไม่มีความเป้นลาตินเหลืออยู่เลย ถ้าเรียงใหม่ได้ขอเอาอัลบั้ม J.Lo เป็นอัลบั้มแรกจะดีกว่า

เพลงในอัลบั้มเพราะมาก จนแทบจะแยกแยะไม่ได้ว่าเพลงไนเป็นเพลงไหน Jenny From The Block ในเชิงธุรกิจจำเป็นต้องเป็นซิงเกิ้ลแรก All I Have ก็ต้องตัดเป็นซิงเกิ้ล เพราะสองเพลงนี้มันติดตลาด จึงทำให้คนมองไม่เห็นถึงพัฒนาการของเจโล เพลงแนวนี้มันมาไวไปไว เมื่อดังก็ต้องรีบขาย ไม่งั้นจะเน่าส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เจโลโดนแผนการตลาดครอบงำ บดบังความเป็นศิลปินในตัวเธอ อีกทั้งเรื่องส่วนตัวของเธอเองนั่นแหล่ะที่บั่นทอนความสามารถของเธอจนหมดสิ้น

คะแนน 3/5

Tracklist

1. Still
2. Loving You
3. I'm Glad
4. The One
5. Dear Ben
6. All I Have featuring LL Cool J
7. Jenny From The Block featuring Jadakiss and Styles P
8. Again
9. You Belong To Me
10. I've Been Thinkin'
11. Baby I Love U
12. The One (Version II)
13. I'm Gonna Be Alright (Track Masters Remix) featuring Nas

Download Here

Shania Twain - Up! (2002)



ดูเหมือนจะมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว Shania Twain นำพาอัลบั้ม Up! เปิดตัวแรงบน Billboard 200 ในอันดับ 1 ด้วยยอดเปิดตัว 874,000 แผ่น และค้างอยู่อันดับ 1 นานถึง 4 สัปดาห์ด้วยกัน ถือว่าประสบความสำเร็จต่อจากอัลบั้ม Come On Over ที่ลำพังในอเมริกาก็ขายไปทั้งสิ้น 15,449,000 แผ่นเข้าไปแล้ว วันนี้ Shania Twain กลับมาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ชื่อ Up! ชื่อเป็นศิริมงคลแบบนี้อัลบั้มถึงดังเอาดังเอา

ทั้งชีวิตของ Shania ดูเหมือนจะฝากไว้ในกำมือของ Robert John "Mutt" Lange ซึ่งก็เป็นทั้ง Producer, Song writter และสามี เรียกว่าเป็นทั้งหุ้นส่วนธุรกิจและหุ้นส่วนชีวิตเลยทีเดียว เพลงในอัลบั้ม Up! แทบทุกเพลงไม่ค่อยมีความแตกจากจาก Come On Over เท่าไหร่นัก แต่ที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างก็คือ ความพ็อพ ที่มีอยู่ในตัว Shania

Up! เป็นการขจัดเอาจุดด้อยของ Come On Over ออกไปจนหมดสิ้น สลัดเอากลิ่นคันทรี่จ๋าออกไป เสริมความเป็นพ็อพลงไปให้ฟังง่ายมากขึ้น ดูจากทำนองแต่ละเพลงจะติดหูแทบทั้งสิ้น เป็นการเปิดตลาดของ Shania ให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ดูจากซิงเกิ้ลแรก I'm Gonna Getcha Good! ฮิตในคลับกันจัง อีกทั้งเวอร์ชั่นรีมิกซ์อีกมากมาย บ้านเราก็มีค่าย Red Beat มือมิกซ์ขวัญใจสะก๊อยยำใหม่ซะ

เพลงในอัลบั้มมีมากมายถึง 19 แทร็ค แต่ละเพลงสามารถตัดเป็นซิงเกิ้ลได้หมด และก็มีศักยภาพจะดังได้ทั้งนั้น ช่วงเวลาที่ห่างหายไปถึง 4 ปีทำให้ Shania และ Mutt Lange พิถีพิถันเป็นพิเศษ เพราะความสำเร็จที่ได้จาก Come On Over มันค้ำคออยู่ แต่แล้ว Up! ก็กลายเป็นงานที่เบาสบาย ไร้ความเครียดเจือปน เหมือนว่ารู้จุดขายของตัวเองแล้ว เป็นเรื่องดีสำหรับเธอที่ไม่ต้องกดดันอยู่กับความสำเร็จ

ขึ้นชื่อว่าเพลงคันทรี่ ขอบเขตในการพัฒนามีน้อยกว่าเพลงพ็อพ ยกตัวอย่างว่าถ้าร้องเพลงพ็อพอัลบั้มต่อไปเราจะยัดอะไรมาใส่ก็ได้ จะ R&B Hip Hop หรือ Latin ยกตัวอย่างคนที่ทำแบบนี้ได้คือ Jennifer Lopez กับ Britney Spears และ Madonna เพราะไม่ว่าพวกเธอจะทำเพลงอะไร มันก็ลงท้ายด้วยคำว่าพ็อพ แม้จะ Hip Hop หรือ Latin ในส่วนของ Shania ได้หันหัวเรือมาตรงคำว่าพ็อพซึ่งถ้ามีอัลบั้มน่าเธอจะหันหัวเรือไปตรงไหนก็ได้ เพราะเธอได้สลัดสำเนียงคันทรี่ออกไปแล้ว ซึ่งก็เหมือนนี่คือก้าวแรกของ Shania ที่จะเข้าสู่ตลาดเพลงสากลได้กว้างขึ้น

พูดถึงเพลงช้าในอัลบั้มมันจะมีเพลงประเภท You're Still The One หรือ From This Moment On เหลือออยู่มั๊ย คำตอบคือ มี แต่คงไม่เพราะจับใจเหมือนเดิม คล้ายๆกันก็เห็นจะเป็น When You Kiss Me แทร็คสุดท้ายปิดอัลบั้ม และก็เป็นซิงเกิ้ลซะด้วย Forever and For Always เพราะมาก ไม่ได้เดินตามสูตรเดิมแต่อย่างใด Juanita มีส่วนผสมของ Latin เล็กน้อยช่วยให้น่าฟังมากขึ้น Ka-Ching! ติดหูพอๆกับ I'm Gonna Getcha Good! เพลงที่เด่นที่สุดก็เห็นจะเป็น Waiter! Bring Me Water! ใส่ความเป็นเอเชียลงไป C'est La Vie ติดหูมาก เพราะใช้แซมเปิ้ลทำนอง Dancing Queen ของ ABBA

การหยิบเล็กผสมน้อยของ Mutte Lange มองในแง่ดีก็ถือว่าเป็นการขยายตลาดของดนตรี แต่ในทางกลับกัน Mutte Lange ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำเพลงที่แตกต่างออกไป ผลออกมาก็ไม่ค่อยน่าพอใจ ไม่ใช่ของจริง Waiter! Bring Me Water! ที่ใส่ความเป็นเอเชียมาฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของจริง แค่มีกลิ่น Thank You Baby! โหมโรงออเครสตร้าชุดใหญ่ ฟังไปก็งั้นๆ ถ้าอัลบั้มหน้ายังเป็นแบบนี้ Shania ก็คงจะถึงทางตันซะแล้ว

คะแนน 3/5

Tracklist

1. Up!
2. I'm Gonna Getcha Good!
3. She's Not Just A Pretty Face
4. Juanita
5. Forever And For Always
6. Ain't No Particular Way
7. It Only Hurts When I'm Breathing
8. Nah!
9. (Wanna Get To Know You) That Good!
10. C'est La Vie
11. I'm Jealous
12. Ka-Ching!
13. Thank You Baby! (For Makin Someday Come So Soon)
14. Waiter! Bring Me Water!
15. What A Way To Wanna Be!
16. I Ain't Goin Down
17. I'm Not In The Mood
18. In My Car
19. When You Kiss Me

Download Here

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Beyonce' - Dangerously In Love (2003)


Beyonce' Knowles กับโซโล่เดี่ยวครั้งแรก ท่ามกลางคำครหาว่า ถ้าอัลบั้มนี้เธอดัง มีชิ่งแน่นอน Dangerously In Love เป็นชื่อเพลงจากอัลบั้ม Survivor ของ Destiny's Child ยัยบีติดอกติดใจเพลงนี้เป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าขึ้นร้องสด (ในนาม Destiny's Child) ที่ไหน จะเรียกเสียงฮือจากบรรดาแฟนๆได้แทบทั้งสิ้น จึงกลายมาเป็นชื่ออัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกของเธอ

ไม่มีเหตุผลที่ Beyonce' จะไม่ออกโซโล่เดี่ยว เพราะลำพังแค่เธอคนเดียว คนอื่นก็ไม่ต้องถามหา อันนี้คือความจริงที่ทั้งสองนางที่ขนาบข้างๆต้องเข้าใจและยอมรับความเป็นไป Beyonce' คือหน้าคือตาของวง ขาดเธอไปมันก็ไม่ใช่ Destiny's Child แล้ว จึงเป็นเหตุผลเดียวที่โซโล่ของทั้ง Michelle Williams และ Kelly Rowland จะไม่ดัง

เปิดอัลบั้มที่อันดับ 1 Billboard 200 ด้วยยอดขาย 317,000 ก๊อปปี้ ในสัปดาห์แรก และเป็นสัปดาห์เดียวกันที่ Crazy In Love ขึ้นอันดับ 1 ใน Billboard Hot 100 เป็นเครื่องการันตีได้ว่า อัลบั้มนี้ดังแน่นอน 5 รางวัลแกรมมี่ย์จึงได้มาอย่างง่ายๆ ทั้งๆที่ทำเพลงในนามของ Destiny's Child ดีนักดีหนายังไม่ได้ โด่งดังเป็นพลุแตกขนาดนี้ เป็นใครจะอยากกลับไปรวมวง

Scott Storch โปรดิวเซอร์คนเก่งดึงเอาจุดเด่นของ Beyonce' มาใช้ได้อย่างชาญฉลาด นึกถึง Beyonce' ก็ต้องนึกถึง R&B และเป็น R&B ที่มีจริตจะก้าน หยิบเอาแซมเปิ้ลเพลงเก๋าแต่เก๋มาผสมผสานกับฮิพฮอพอย่างเพลง Naughty Girl เพลงน่ารักๆยามค่ำคืนที่ใช้แซมเปิ้ล Love to Love You Baby ของป้า Donna Summer ชื่อของ Beyonce' จึงดึงดูดให้บรรดาคนดังไม่ปฏิเสธที่จะร่วมงานด้วย ทั้ง Missy Elliott, Jay-Z (อันนี้ของตาย), Sean Paul, Big Boi จาก Outkast หรือจะรุ่นพ่ออย่าง Luther Vandross ที่สิ้นอายุขัยไปแล้วก็ตาม จึงเป็นเหตุที่ว่า อัลบั้มนี้ตัดเพลงไหนก็ดังไปซะทุกเพลง

Crazy In Love วิงเกิ้ลแรกที่เปรี้ยวล้ำ Baby Boy อาร์แอนด์บีเอาใจตลาดได้ Sean Paul มาเสริมในส่วนของความเป็นแร้กเก้ Be With You และ Me Myself & I บัลลาดอาร์แอนด์บีที่มีดีพอจะตัดเป็นซิงเกิ้ลได้ทั้งคู่ Signs เด่นด้วยเนื้อหา ขุดเอาตำราปีเกิดมาร่ายเป็นเพลง ป้าโอ่ง Missy Elliott โผล่มาโหวกแหวกทำไม เสียอารมณ์ The Closer I Get To You เพราะจับใจ สมคุณค่ารางวัลแกรมมี่ย์ที่ได้รับ Work It Out เพลงแถมจากซาวด์แทร็ค Austin Power ก็ใส่มาด้วย

มองในทางกลับกัน Beyonce' ที่ไร้เพื่อนร่วมวงก็เป็นอะไรที่เลี่ยนพอสมควร เหมือนกินอาหารที่มีรสหวานจัดแรกๆก็อร่อยดี แต่พอยัดเข้าปากไปเรื่อยๆก็เกิดอาการเฝือ เปรียบ Kelly และ Michelle ก็เหมือนกับเกลือที่คอยมาตัดความหวานให้รสชาติมันกลมกล่อม งานนี้จึงมีแต่คำว่าล้นทะลัก ไม่มีความพอดี เพราะเป็นงานแรกของเธอ ทั้งไอเดียและความสามารถจึงยัดเยียดแข่งกันเด่น ทางดีที่สุดก็คือต้องเลือกแทร็คมาฟังแบบเดี่ยวๆ ไม่ควรฟังแบบต่อเนื่อง

ในส่วนของภาพลักษณ์คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะมันก็เขี่ยยัย Ashanti ลงจากชาร์ตได้อย่างง่ายดาย ทำทุกคนลืมไปเลยว่า Ashanti (ณ เวลานั้น) นั้นโด่งดังแค่ไหน เพลงของเธอทั้งสองคนแตกต่างกันอยู่มาก แต่ Beyonce' อาศัยภาพลักษณ์ที่แข็งกว่าเข้าข่ม จนทำให้ Ashanti ที่มีภาพลักษณ์ด้อยกว่าต้องสลายหายไตามกาลเวลา Beyonce' ณ เวลานี้เธอคือต้นแบบของใครต่อไป ทั้งที่ใช้เวลาอยู่ในวงการไม่นานเท่าไหร่นัก ทั้ง Rihanna, Jamelia, Christina Milian ต่างก็โดนเปรียบในเชิงที่ด้อยกว่าอยู่เสมอ

คะแนน 3/5

Tracklist

1. Crazy In Lovce Featuring Jay-Z
2. Naughty Girl
3. Baby Boy Featuring Sean Paul
4. Hip Hop Star Featuring Big Boi and Sleepy Brown
5. Be With You
6. Me, Myself & I
7. Yes
8. Signs Featuring Missy Elliott
9. Speechless
10. That's How You Like It Featuring Jay-Z
11. The Closer I Get To You Duet With Luther Vandross
12. Dangerously In Love 2
13. Beyonce' (Interlude)
14. Gift From Virgo
15. Work It Out

Download Here